โรคฉี่หนู หรือเลปโตสไปโรซีส กลับมาเป็นภัยเงียบที่ต้องจับตาอีกครั้งท่ามกลางอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ เมื่อระดับน้ำที่ท่วมขังตามชุมชนและท้องนา กลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อ Leptospira จากปัสสาวะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะหนู ทำให้ประชาชนที่จำเป็นต้องลุยน้ำหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ชื้นแฉะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังอาจนำไปสู่อาการรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

โรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรซีส (Leptospirosis) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย Leptospira ซึ่งเป็นแบคทีเรียรูปร่างเกลียว (spirochete) โรคนี้เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonosis) พบเชื้อได้ในปัสสาวะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น หนู (เป็นแหล่งสำคัญที่สุด) สุนัข โค กระบือ สุกร ฯลฯ เมื่อสัตว์ที่ติดเชื้อปัสสาวะลงบนพื้นดิน โคลน หรือแหล่งน้ำ แบคทีเรียสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลาหลายวันถึงหลายเดือน โดยเฉพาะในพื้นที่ชื้นหรือมีน้ำท่วมขัง
มนุษย์หรือสัตว์สามารถติดเชื้อได้ผ่านทาง:
1. การสัมผัสกับแบคทีเรียที่ถูกขับออกในสิ่งแวดล้อมจากสัตว์ที่ติดเชื้อ (พบได้บ่อยที่สุด) เช่น พื้นที่น้ำท่วมขัง หรือทุ่งนา โดยเชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายคน/สัตว์ ทางบาดแผล รอยถลอก รอยขีดข่วน หรือเยื่อเมือกต่างๆ และทางผิวหนังที่เปื่อยจากการแช่น้ำเป็นเวลานาน
2. การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน
3. การหายใจเอาละอองของปัสสาวะ หรือของเหลวที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป (พบได้น้อย)

การป้องกันและเฝ้าระวังการติดเชื้อ
1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขังด้วยเท้าเปล่า ควรสวมรองเท้าบู๊ทเพื่อป้องกัน
2. รีบล้างมือ ล้างเท้า ให้สะอาดโดยเร็วหลังจากการแช่น้ำหรือลุยน้ำ
3. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและดื่มน้ำสะอาด
4. สวมหน้ากากอนามัย ถ้าบริเวณน้ำขังนั้นที่มีโอกาสเกิดละอองฝอย
5. สังเกตอาการ ถ้ามีอาการป่วย เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตัวเหลือง ตาเหลือง ฯลฯ หลังจากการสัมผัสแหล่งน้ำขัง ให้รีบพบแพทย์
6. สำหรับอาสาสมัครที่ต้องลุยน้ำในพื้นที่เสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยา Doxycycline เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
..............................................
บทความโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัยสิทธิ์ นิยะสม
อาจารย์ประจำสาขาชีววิทยา
สังกัดคณะวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยทักษิณ