Black Ribbon Top Right
ฟื้นหัวใจหลังภัยพิบัติ เมื่อ น้ำลด แต่ความเจ็บปวดไม่ลด

ฟื้นหัวใจหลังภัยพิบัติ เมื่อ น้ำลด แต่ความเจ็บปวดไม่ลด

3 ธ.ค. 68 151

ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเพียงเหตุเล็กหรือวิกฤตใหญ่ สิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญไม่เคยง่าย ทั้งความสูญเสีย ความกลัว และความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกัน โดยเฉพาะภัยพิบัติน้ำท่วม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คนไทยโดยเฉพาะในภาคใต้ น้ำที่ไหลบ่าพัดบ้านเรือน ทรัพย์สิน และวิถีชีวิตให้เปลี่ยนไปในพริบตา ไม่เพียงสร้างความเสียหายทางกายภาพ แต่ยังทิ้งร่องรอยลึกลงในจิตใจที่อาจคงอยู่ยาวนานกว่าน้ำที่ท่วมขังเสียอีก

ขณะเผชิญสถานการณ์คับขัน ร่างกายมนุษย์จะเข้าสู่โหมด “เอาตัวรอด” โดยอัตโนมัติ หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก มือสั่น นอนไม่หลับ เป็นสัญชาตญาณป้องกันตัวตามธรรมชาติ แม้น้ำจะลดแล้ว อาการเหล่านี้อาจยังอยู่ต่อเพราะร่างกายยังเข้าใจว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย ผู้ประสบภัยหลายรายยังพบปัญหาสุขภาพตามมา เช่น ภูมิคุ้มกันลด ท้องเสีย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หรือแม้แต่ภาวะแพนิกเมื่อเจอสิ่งที่เตือนให้หวนถึงเหตุการณ์เดิม

สำหรับหลายคน ความช็อก ความกลัว ความเศร้า และความรู้สึกผิด เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นทันทีหลังเหตุการณ์ บางคนไม่อยากเชื่อว่าความสูญเสียนั้นเกิดขึ้นจริง บางคนเก็บงำความรู้สึกไว้จนกระทั่งระเบิดออกมาในเวลาต่อมา อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ หวาดผวาเมื่อเห็นน้ำ ฝันร้ายซ้ำๆ เห็นภาพเหตุการณ์ย้อนกลับอย่างฉับพลัน ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถอนตัวจากสังคม ในบางราย อาการอาจลุกลามจนกลายเป็น PTSD หรือ Post-Traumatic Stress Disorder หรือโรคซึมเศร้าที่ต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ

วิธีดูแลเยียวยาตนเอง

แนวทางพื้นฐานต่อไปนี้ช่วยประคองใจให้ค่อย ๆ กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง

1. ยอมรับอารมณ์ ไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ให้เวลาและพื้นที่กับความรู้สึก ร้องไห้ เขียนระบาย หรือพูดกับคนที่ไว้ใจ ล้วนช่วยปลดปล่อยความเครียดได้ดี อย่ากดทับอารมณ์ และอย่าโทษตัวเอง

2. ดูแลร่างกายเพื่อพยุงหัวใจ การกินให้อิ่ม พักผ่อนให้พอ และขยับร่างกายเล็กน้อย ล้วนช่วยลดความเครียด หลีกเลี่ยงการดื่มหนักหรือพึ่งยาเพื่อหลบความเจ็บปวด เพราะจะยิ่งเพิ่มปัญหาในระยะยาว

3. ใช้พลังสังคมช่วยเยียวยา การมีคนให้ยืนข้าง ๆ สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มผู้ประสบภัยด้วยกัน การพูดคุยแลกเปลี่ยนช่วยลดความโดดเดี่ยว และทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เผชิญสิ่งนี้เพียงลำพัง

4. มองหาความหมายใหม่ในชีวิต ประสบการณ์เลวร้ายอาจเปิดโอกาสให้เห็นคุณค่าที่หลงลืม เช่น ความเข้มแข็งที่ซ่อนอยู่ ความรักจากคนรอบข้าง หรือความสามารถในการเริ่มต้นใหม่

5. ฝึกเทคนิคจัดการความเครียด เช่น หายใจลึกๆ ทำสมาธิ จำกัดการเสพข่าวที่กระตุ้นความเครียด แม้   สถานการณ์ภายนอกยังวุ่นวาย การจัดการภายในช่วยให้ใจนิ่งขึ้นได้

6. ถึงเวลาขอความช่วยเหลือ อย่ารอจนสาย หากอาการรุนแรงหรือยาวนาน เช่น ซึมเศร้าเกิน 2 สัปดาห์ นอนไม่ได้ ใช้สารเสพติดหรือคิดทำร้ายตัวเอง ควรพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาทันที การบำบัดอย่าง CBT, EMDR หรือการใช้ยาภายใต้การดูแลแพทย์ สามารถช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7. ใช้ศรัทธาและกิจกรรมทางบวกเป็นพลังใจ กิจกรรมทางศาสนา พิธีกรรมระลึกถึงผู้จากไป หรือเทคนิค “บอกลาในใจ” (Empty Chair) ช่วยลดความค้างคา และทำให้ก้าวต่อไปได้ง่ายขึ้น

แม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี อารมณ์อาจกลับมาอีกเมื่อถึงวันครบรอบหรือเจอสิ่งกระตุ้น การเตรียมใจล่วงหน้าและมองตนเองด้วยความเมตตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างความยืดหยุ่นทางใจ คือเป้าหมายสูงสุด ความสามารถที่จะล้มแล้วลุกได้ซ้ำๆ แม้เจอความยากลำบาก

น้ำลด แต่ชีวิตต้องเดินต่อ ภัยพิบัติน้ำท่วมอาจกวาดล้างสิ่งต่างๆ ไปมากมาย แต่หัวใจมนุษย์ยังมีพลังที่ฟื้นคืนได้เสมอ การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ค่อยๆ ดูแลตัวเอง และเปิดรับความช่วยเหลือ เป็นก้าวสำคัญในการกลับมาใช้ชีวิตอย่างเต็มความหมายอีกครั้ง แม้ความสูญเสียจะไม่หายไป แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังที่จะสร้างชีวิตใหม่ทีละก้าว อย่างเข้มแข็ง และงดงามกว่าเดิม

----------------------

บทความโดย อาจารย์ ดร.ติณพัฒน์ รัชช์ทรัพยกุล สาขาวิชาจิตวิทยาคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ ม.ทักษิณ